รองเท้าพังเป็นเหตุ สังเกตุได้จากถุง

ทักทาย

สวัสดีวันอาทิตย์ที่ 22 พฤศิจกายน 2020 ครับทุกคน ขอเสิร์ฟบันทึกของโปรเต้ตอนใหม่ โดยตอนนี้ได้บึนทึกเกี่ยวกับการเลือกซื้อรองเท้าวิ่งคู่ใหม่ของผมกันครับ ก่อนอื่นขอเล่าย้อนกลับไปนิดนึง

จากเหตุการณ์เอารองเท้าวิ่งไปตีแบตมาเมื่ออาทิตย์ก่อน ทำให้เพื่อนคู่ใจได้จากผมไปไวกว่าเดิม ขอบคุณที่ร่วมทางด้วยกันมา 2 ปี 8 เดือน

Asisc Gel Kayano 24 😭

บวกกับปีนี้ผมได้รับสิทธิ์ Lotto ของงานวิ่งที่ใครๆก็อยากจะไปกัน นั่นก็คืองาน BANGSEAN21 งานวิ่ง Half Marathon ในประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งปีนี้เขาฉลองได้รับรางวัลสนาม Gold Label World Atheletics ในชื่อ

BANGSEAN21 THE FINEST RUNNING EVENT EVER 2020

เกี่ยวกับรองเท้าวิ่ง

ก่อนอื่นขอแนะนำประสบการณ์ใส่รองเท้าวิ่งของผมก่อน

  • ขนาดรองเท้าที่ผมใส่ คือ US12/EUR46
  • ผมเป็นคนเท้าแบน เคยลอง nike บางรุ่นใส่แล้วบีบหน้าเท้าเกินไปใส่ไม่ได้
  • เคยใช้ Adidas Duramo7 (ผมจัดให้เป็นรองเท้าอเนกประสงค์ละกัน)
  • เคยใช้ Asisc Gel Kayano 24 2E (สาย Support หน้าเท้ากว้างเหมาะกับคนเท้าแบน)
  • ไม่เคยใช้รองเท้าวิ่งสาย Racing มาก่อน

ออกตามหา

ถึงเวลาแล้วที่ผมต้องหาเพื่อนคู่ใจคู่ใหม่ ผมจึงเริ่มออกตามหาเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมากับคุณภรร พักหลังมา ถ้าเป็นพวกอุปกรณ์กีฬา, รองเท้าเดิน, รองเท้าวิ่ง ผมจะดูพวก Outlet Store ก่อนเพราะเป็นสินค้าที่ตกรุ่นราคาจะเบากว่าช็อป ถ้ามีโปรก็จะเบาไปอีก โดยเริ่มจาก Nike Factory Store (ขอย่อเป็น NFS) เมืองทองก่อน

Zoom Pegasus 37 สีดำเหลือง และ Zoom Gravity ขาวเขียว

หลังจากที่ Asisc พัง รอบนี้ว่ากะลอง Nike บ้าง ที่มีในหัวคือ Series Zoom Pegasus พอไปถึงมี Zoom Pegasus 37 มีไซส์ พอลองใส่แล้วปลายเท้าชนขยับไปอีกไซส์ก็หลวมส้นอีก สงสัยรูปเท้าเราไม่เหมาะกับคู่นี้เลยตัดออกไป (ฝากไว้เผื่อสนใจ ส่วนตัวผมรู้สึกว่า ไม่ดีดเท่าตัวก่อน เป็นสายกึ่งๆระหว่าง Support + Racing คือ วิ่งเหยาะหรือทำความเร็วได้สบายๆ)

ต่อมาได้ลอง Zoom Gravity อีกรุ่น สีขาวเขียวถูกใจพอลองใส่ รู้สึกไม่โอวัสดุหุ้มเท้าแข็งไปหน่อย สวมแล้วติดๆขัดๆ เลยไม่ได้ลอง และตัดตัวเลือกทิ้งไป

ทีนี้มีพนักงานเขาแนะนำ Zoom Fly 3 รองเท้าวิ่งสาย Racing สีเทาขาวคาดน้ำเงินมาให้ลอง แต่ดันเป็นไซส์ US13/EUR47.5 ซึ่งใหญ่กว่าไซส์ผม ไหนๆเขาหยิบมาเลยลองสักหน่อย วัสดุหุ้มเท้าไม่ใช่ผ้า ตอนสวมเข้าไปใส่ง่ายนะ รู้สึกชอบตั้งแต่ใส่เลย พอลองวิ่งรู้สึกพื้นจะดีดๆ แต่หลวมส้นนี่สิใส่วิ่งแล้วจะหลุด ผมเลยลองโทรเช็คกับสาขาอื่นว่ามีที่ไหนมีไซส์อยู่บ้าง พบว่ามีไซส์แต่เป็นสี Olympic อยู่ที่ Siam Premium Outlet แถวสุวรรณภูมิ เก็บไว้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือก

ขอบคุณพนักงาน NFS เมืองทองที่คอยให้คำแนะนำดีๆ ด้วยครับ

Nike Zoom Fly 3 สีเทาขาว คาดน้ำเงิน

หลังจากลอง Nike เสร็จ เหลืออีกตัวเลือกหนึ่ง นั่นก็คือ Asisc Gel Kayano นั่นเอง ไหนๆจะซื้อใหม่แล้วก็อยากลองใหครบก่อนตัดสินใจ แต่พอไปถึงช็อป Asisc Outlet ก็ปิดซะแล้ว ไม่ทันดูจริงๆว่าเขาปิดตอน 2 ทุ่ม ผมกับคุณภรรเลยหาอะไรกินและกลับไปพัก พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่

ขณะกินข้าวเช้าวันต่อมา ผมกับคุณภรรได้คุยกันว่าเราจะไปที่ไหนดีระหว่าง Asisc เมืองทอง หรือ Siam Premium Outlet มีความลังเลอยู่บ้างแต่คิดดูแล้วไป Siam Premium Outlet ไกลกว่าแต่คุ้มกับเวลาที่เสียไปเพราะที่นั่นมีทั้ง Nike + Asisc

เราสองคนจึงตัดสินใจขับรถไปที่นั่นกัน

เมื่อถึงที่หมาย ผมเลยไปช็อป Asisc ก่อน เพราะอยู่ก่อน NFS พอถึงช็อป พบว่ามี Gel Kayano 26 ตั้งขายอยู่แต่ไม่มีไซส์ให้ลอง ผมนี่แอบเศร้าจริงๆมาถึงนี่ไม่มีของให้ลอง

Asisc Gel Kayano 26

จากนั้นผมไป NFS ต่อ เพื่อตามหา Zoom Fly 3 หลังจากสอบถามพนักงานได้คำตอบว่ามีไซส์ แต่ตัดฝากล่องแล้ว

รองเท้าตัดฝากล่อง/แขวนราวกลม หรือแฮช (Hash) แล้วแต่พนักงานจะเรียก

คือ รุ่นสินค้าที่มีไซส์เหลือน้อย ถ้าเป็นรองเท้าจะตัดฝากล่องขึ้นชั้นวางไว้ด้านผนังร้าน ส่วนพวกเสื้อกางเกง จะแขวนราวกลม

รองเท้าตัดฝากล่องขึ้นชั้นวาง
เสื้อผ้ากางเกงที่แขวนราวกลม

ผมดีใจที่ยังมีเหลืออยู่ ไม่รอช้าผมลองใส่วิ่งดูอีกครั้ง รอบนี้วิ่งเยอะหน่อยเพื่อลองให้รู้มันเหมาะกับเท้าเราจริงๆไหม สรุปคือโอเคใส่แล้วหน้าเท้าไม่คับ วิ่งไม่หลุด วิ่งแล้วดีด

พอดีเห็น Zoom Pegasus Turbo 2 มีไซส์ เลยลองใส่เทียบกันคล้ายกับ Zoom Pegasus 37 ไม่รู้สึกคับหน้าเท้า มีความเชิดและดีดนิดหน่อยแต่ไม่เท่า Zoom Fly 3

ตอนนี้ผมตัดสินใจได้ละ เอาว่ะ รองเท้าวิ่ง Racing คู่แรกในชีวิต Zoom Fly 3

Nike Zoom Fly 3 สี Olympic

ช่วงเสียเงิน

ในวันนั้นที่ NFS มีโปรซื้อ 3 ชิ้นลด 30% ซื้อ 4 ชิ้นลด 40% คละพวกเสื้อ กางเกง ถุงเท้าได้ ผมเลยหาของให้ครบ 4 ชิ้น ได้รองเท้าใส่เข้าฟิตเนสอีกคู่ กางเกงอีกตัว และรองเท้าวิ่งอีกคู่ คิดรวมแล้วทั้งหมด 4,596 บาท

  • Zoom Fly 3 ราคา NSF 4,690 บาท ลด 40% เหลือ 2,814 บาท
  • Nike Flex ราคา NSF 1,890 บาท ลด 40% เหลือ 1,134 บาท
  • กางเกงวิ่ง Nike ราคา NSF 890 บาท ลด 40% เหลือ 534 บาท
  • ถุงเท้าวิ่ง Nike ราคา NSF 190 บาท ลด 40% เหลือ 114 บาท

จ่ายเงินเรียบร้อย ผมกับคุณภรรก็เดินทางกลับบ้านต่างจังหวัดกัน

รองเท้าพังเป็นเหตุ สังเกตุได้จากถุง

ลองวิ่งจริง

ในเช้าวันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน 2020 เป็นอีกวันหนึ่งที่ผมตื่นเช้ามาพบกับอากาศเย็นสบาย ผมคนหนึ่งที่พึ่งซื้อรองเท้าคู่ใหม่ ต้องไม่พลาดโอกาสได้ลองซ้อมวิ่งกับอากาศแบบนี้

การวิ่งในอากาศเย็นจะวิ่งเหนื่อยน้อยกว่าอากาศร้อน (มาก)

ผมขับมอไซต์มาที่สนามหญ้าข้างโบสถ์แถวบ้าน ที่ผมวิ่งประจำ ยืดเส้นยืดสายวอร์มอัพให้พร้อม จากนั้นผมก็วิ่งเบาๆไป 5 km Pace 7

สรุปหลังวิ่งจริง

  • เหมาะกับคนเท้าแบนแบบผมมาก วิ่งไม่เจ็บนิ้ว
  • วิ่งแล้วเหมือนรองเท้าบังคับให้วิ่งอยู่ตลอด
  • มีแรงดีดจริง ดีดเป็นม้าเลย ช่วยให้เราก้าวไปข้างหน้าได้ดีโดยไม่ต้องออกแรงเยอะ
  • วิ่งเหยาะช้าๆ (pace9-12) ไม่เหมาะอย่างยิ่ง วิ่งแล้วปวดกลางเท้าและน่อง
  • ระบายอากาศได้ดี ยิ่งใส่กับถุงเท้าวิ่งดีๆ ใส่สบายไม่ร้อนเท้า แถมวัสดุหุ้มเท้า กันน้ำได้นะ
  • ยังไม่ได้ลองวิ่ง Sprint เพราะห่างวิ่งมานาน

รวมๆ ยังวิ่งไม่ได้เต็มประสิทธิภาพของรองเท้า ไว้มาอัพเดทเพิ่มเติมทีหลัง แต่ตอนนี้ผมอยากได้รองเท้าวิ่งอีกคู่ไว้วิ่งซ้อมเหยาะๆ ที่มองไว้คงเป็น Asisc Gel Kayano แหละ ไม่อยากเอา Zoom Fly 3 มาใส่ซ้อมบ่อย

สุดท้ายอยากเล่าความบังเอิญของรองเท้าคู่นี้ วันที่ผลิตเป็นวันเดียวกับวันเกิดผม และพึ่งมารู้ทีหลังว่าตอนที่ไป Siam Premium Outlet ยังเป็น Zoom Fly 3 คู่สุดท้ายในร้านอีก

เรียกว่าเป็นรองเท้าวิ่งแห่งโชคชะตา

ไว้พบกันใหม่ตอนหน้า ขอบคุณครับ

บันทึกโดย..โปรเต้

เรียบเรียงโดย..เมย์เดย์

กาญจนิ๊ อ๊ะอ๊ะ กาญจนะ อิ๊อิ๊

ทักทาย

ปกติผมจะเขียนบันทึกลงใน Facebook ครั้งนี้ผมจะลองเขียน Blog ดูบ้างตามคำเรียกร้องของแฟนๆ ซึ่งก็ดีเกินคาด ผมสามารถนำรูปที่ผมถ่ายหลายๆรูปมาใส่และเรียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้

และขอฝากบันทึกของโปรเต้ไว้กับแฟนๆด้วยนะในตอนที่มีชื่อว่า

กาญจนนิ๊ อ๊ะอ๊ะ กาญจนะ อิ๊อิ๊

ตั้งชื่อตอนโดยยายติ๊ดตี่

พิกัด

ช่วงอากาศร้อนๆ แบบนี้ พวกเรากลุ่มกินข้าวไหนดีได้จัดทริปหนีร้อนไปเที่ยวที่แพกาญจนบุรี โดยที่พักที่พวกเราเลือกนั่น คือ

อนันตาริเวอร์วิลล์รีสอร์ท

ซึ่งอยู่บนเขื่อนศรีนครินทร์นั่นเองครับ

ออกเดินทาง

การเดินทางใช้เวลาทั้งหมด 3-4 ชั่วโมงจากกรุงเทพฯ จุดหมายแรกที่พวกเราไปคือ ร้านคีรีมันตรา ซึ่งติดรางวัล Wongnai User Choice ในตัวเมืองกาญจนบุรี

ความอร่อย คัดสรรได้

ร้านคีรีมันตรา ร้านมีขนาดใหญ่ ฝั่งหนึ่งเป็นร้านอาหาร อีกฝั่งหนึ่งเป็นร้านกาแฟ และที่สำคัญลานจอดรถสำหรับลูกค้านั่นกว้างมาก หมดปัญหาเรื่องที่จอดไปได้เลย

พวกเราเริ่มต้นโดยเข้ามาที่ร้านกาแฟกันก่อนเพื่อนั่งฆ่าเวลารอรถอีกคันหนึ่ง ภายในตัวร้านใช้ไม้ตัดกับโทนสีเทา หรูหราสไตล์ Loft ปลอดโปร่ง สามารถรองรับลูกค้าได้หลายที่เลย

พอพวกเราได้ที่นั่งกันเรียบร้อยก็เริ่มทยอยสั่งอาหาร ไม่กี่นาทีต่อมา (ไม่เกิน 10 นาที) พนักงานก็ทยอยยกอาหารมาเสิร์ฟแล้ว ซึ่งทำให้ผมประทับใจในระดับหนึ่ง และแล้วของที่ผมสั่งก็มา นั่นคือ ไอศกรีมซอฟท์เมล่อน

สีดูน่ากินแต่รสชาตินั้นแอบผิดหวังหน่อยๆ เพราะโยเกิร์ตนั้นกลบกลิ่นเมล่อนไปเยอะเลย พอพวกเราทานเครื่องดื่มกันเสร็จ รถอีกคันก็มาถึง พวกเราก็ย้ายไปส่วนของร้านอาหาร เพื่อทานอาหารกลางวันกันต่อ

กินหวานแล้วจะไม่กินคาวได้อย่างไร

พวกเราสั่งอาหารไปประมาณ 10 อย่าง จำไม่ได้ ภาพรวมพอใช้ได้แต่ที่อร่อยก็มี

  • แกงส้มชะอมไข่ รสชาติเข้มข้น
  • ไก่อบสมุนไพร หอมมันติดเนื้อ
    ยำถั่วพลู

ส่วนราคาอยู่ในระดับกลางๆ เบ็ดเสร็จตกคนละ 220 บาท จากนั้นพวกเราก็ถ่ายรูปรวมสักรูป ก่อนเดินทางไปยังที่รีสอร์ทต่อ

และที่ประทับใจอีกอย่างก็คงเป็นนี่ล่ะ

หญ้าเขียว วิวสวย ห้องน้ำหรูหรา คีรีมันตรา

บ้านปลากด

พวกเราได้เดินทางต่อไปยังรีสอร์ท เส้นทางจากนี้เป็นถนนเลนเดียว รถไม่เยอะแต่แซงค่อนข้างยาก ถนนเส้นนี้สองข้างทางเป็นป่า ภูเขา และทางขึ้นไปเหนือเขื่อนก็มีความชันในระดับหนึ่งจึงทำให้พวกเราใช้เวลาเดินทางไปอีก 1 ชั่วโมงกว่า จนถึงรีสอร์ท

ทางเข้ารีสอร์ทนี่ค่อนข้างแคบรถสวนทางได้ยาก ไม่เหมาะกับรถใหญ่เป็นอย่างยิ่ง แต่พวกเราขับแต่รถคันเล็กมาจึงไม่ใช่ปัญหา ลานจอดของที่พักมีขนาดเล็กและจอดยาก เนื่องจากเป็นทางชัน ซึ่งมันไม่เข้ากับขนาดของรีสอร์ทเลย

หลังจากที่เราได้ที่จอดรถ พวกเราก็ขนสัมภาระเข้าที่พัก โดยห้องพักของที่นี่จะตั้งชื่อตามปลาน้ำจืด จะมีความน่ารักหน่อยๆ ซึ่งบ้านที่เราจองไว้ คือ บ้านปลากด

ปลากด

กิจกรรมทางน้ำ

พวกเราถึงบ้านปลากดประมาณบ่าย 3 โมง เมื่อขนสัมภาระเข้าห้องเสร็จ พวกเราก็เริ่มทยอยเปลี่ยนชุดเตรียมลงน้ำ รีสอร์ทที่นี่มีกิจกรรมทางน้ำหลายอย่าง เช่น เครื่องเล่นทางน้ำ พายเรือแคนู และแพเปียก ที่กล่าวมาข้างต้นคือรวมในแพ็คเกจของที่นี่แล้ว

ทุกคนเริ่มทยอยใส่ชูชีพและลงน้ำกันแล้ว

และพวกเราเริ่มจากเครื่องเล่นทางน้ำก่อน ลุย!

พอเสียงประกาศจากทางรีสอร์ทให้เราไปนั่งแพเปียกได้ดังขึ้น พวกเราก็ออกไปรอทันทีในเวลาบ่าย 4โมงเย็น

ซึ่งทำให้พวกเราเสียเวลาเป็นอย่างมาก

เรานั่งรอบนแพเปียกครึ่งชั่วโมงได้ แพถึงออกไปยังกลางเขื่อน พอถึงจุดที่แพหยุดให้เล่นน้ำ ก็มีแพเปียกจากรีสอร์ทอื่นเข้ามาแจมด้วยอยู่ห่างๆ ตรงจุดนี้มีสายย่อก็ใส่กันเต็มที่ ขยับเอว ส่ายสะโพกโยกย้าย จนผมเริ่มเห็นกลุ่มเมฆครื้มมาไกลๆ ทันใดนั้นสภาพอากาศจากร้อนเปลี่ยนเป็นเย็นในทันที

ฝนตก

คนลากแพเปียกจึงเริ่มลากพวกเรากลับอย่างช้าๆ ขณะที่ฝนเริ่มซา เมื่อกลับถึงฝั่งฝนก็เริ่มตกหนักขึ้น พวกเราจึงรีบเดินกลับบ้านพักไปหลบฝนรออาหารเย็นกัน ซึ่งเปิดให้เริ่มทานตั้งแต่ 6 โมงครึ่งเป็นต้นไป

มื้อเย็น

เมื่อถึงเวลาพวกเราก็เดินผ่าสายฝนไปนั่งกินข้าวเย็นกันทันที

เออไหนๆก็เปียกละ ได้ฟิลไปอีกแบบ

มื้อเย็นของพวกเราเป็นบุฟเฟ่ต์ อาหารไทย ซึ่งอาหารคาวมีปลากระพงทอดน้ำปลา ต้มพะโล้ ขนมจีน ข้าวเกรียมปากหม้อ ส้มตำและลาบหมู ส่วนของหวานจะมี เฉาก๊วยและผลไม้กระป๋อง

เมื่อทานเสร็จเราก็กลับบ้านพัก ทำธุระส่วนตัวและออกมารวมกันที่หน้าบ้าน เพื่อนั่งชิลล์ฆ่าเวลารอพี่บอยซึ่งกำลังเดินทางหลังจากเสร็จภารกิจ

ในตู้เย็นเราเจอขวดเบียร์ Heineken อยู่หนึ่งขวดเมื่อตอนเข้าที่พัก ซึ่งเราก็ตรวจจนแน่ใจแล้วว่าไม่ใช่ของที่พัก คงมีคนลืมเอาไว้

Lucky! เบียร์ฟรี

แล้วเราก็เปิดดื่มกัน โดยสมาชิกร่วมดื่มมีผม สไปร์ท พี่ด๋อย พี่เล็กและที่ตกใจคือโบ๊ทที่เมื่อก่อนไม่กินเลย มาวันนี้เป็นคนยกชน การกินเบียร์ท่ามกลางสายฝนแบบนี้

ทำไมมันอร่อยจังวะ? ต่อสิครับรออะไร

ก่อนที่ผมจะตัดสินใจไปซื้อเบียร์ พี่บอยก็มาถึงทุกคนต่างถามพี่บอยว่าเดินทางมาเป็นอย่างไรบ้าง พี่บอยเล่าว่า

ทางขึ้นเขื่อนนั้นมืดและค่อยข้างอันตราย

เป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงเดินทางตอนกลางคืน หลังจากนั้นพี่บอยก็ได้ไปทานข้าวกับพี่ด๋อยและติ๊ดตี่ ส่วนผมก็ไปซื้อเบียร์มาเพิ่ม

หมาป่า

และเวลาที่ลอยคอ รอคอย! ก็มาถึง เกมในโด่งดังที่ทุกคนรู้จัก พวกเราจะเล่นทุกครั้งเมื่อออกทริป นั่นคือเกม Ultimate Werewolf หรือเกมหมาป่า ซึ่งครั้งนี้ผมได้ลงไปเล่นด้วยเป็นครั้งแรกหลังจากเป็นแต่ผู้ดำเนินเกม (Moduletor) มาตลอด เพราะตั้งใจจะลงไปเล่นด้วย ผมจึงเตรียมโพยแต่ละบทบาทมาพร้อม และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับ Mod ที่มาเป็นแทนผม เพื่อผมจะได้เล่นเกมอย่างสบายใจอีกด้วย และเวลาล่วงเลยยันตี 1 กว่าๆ

พวกเราจึงแยกย้ายไปนอนกัน

อรุณสวัสดิ์

ผมได้ตื่นตอน 7 โมงเช้า ทุกครั้งที่ผมได้มาเที่ยว ผมจะตั้งใจลุกขึ้นมาสูดอากาศตอนเช้าๆ เพราะอากาศต่างจังหวัดดีกว่ากรุงเทพมากๆ ผมเดินออกมาหน้าแพ ผมเจอพี่เล็กนั่งอยู่คนเดียว ผมจึงไปนั่งกับพี่เล็กด้วย พวกเรานั่งคุยไปได้สักพักหนึ่ง พี่เล็กเลยชวนไปพายเรือ ผมจึงไปปลุกโบ๊ทกับสไปร์ทและชวนไปพายเรือด้วยกัน

เมื่อผมพายเรือกลับมาที่บ้านพัก ทุกคนก็ตื่นกันเกือบหมดแล้ว พวกเราจึงไปทานข้าวเช้ากัน อาหารเช้าเป็นบุฟเฟ่ต์อาหารเช้าทั่วไปไม่มีอะไรพิเศษ แต่ที่นั่งของเราพิเศษหน่อย เป็นโต๊ะอาหารแบบญี่ปุ่นและด้านล่างมีปลาคาร์ฟตัวโตว่ายไปว่ายมาให้เราได้ชื่นชมกัน

พอทานกันเสร็จ พวกเราก็ไปเล่นน้ำกันต่อ

แรงเหลือจริงๆ

หลังจากได้เล่นน้ำกันหนำใจ เราก็เก็บสัมภาระเตรียมกลับบ้านกัน และถ่ายรูปหมู่เก็บไว้สักหน่อย

เดินทางกลับ

ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ เราก็แวะทานมื้อกลางวันกันที่

ร้านบ้านต้นน้ำ

มื้อนี้เราสั่งประมาณ 6 อย่างได้ แต่สั่งอย่างละ 2 ชุด ซึ่งอาหารที่เราสั่งไปมี

  • ไข่เจียวกุ้ง
  • เต้าเจี้ยวหลน
  • ต้มยำปลาคัง
  • ผัดผัก
  • ปีกไก่ทอด
  • ผัดอันนี้จำไม่ได้
  • เมื่อทานกันเสร็จ น้องเบนซ์กับพี่ออมขอตัวกลับก่อน ส่วนพวกเราจะกลับไปซ้ำ ร้านคีรีมันตราอีกครั้งเพราะว่าเรายังไม่ได้ทานขนมกัน ว่าแล้วชวนชมขนมของร้านนี้กันได้เลย
  • ผมคงยกให้น้องเต่าเป็น The Best of Dessert ของทริปนี้เลย เพราะน้องเต่ามีกระดองที่กรอบและเคลือบไปด้วยช็อกโกแลต แถมไส้ในน้องเต็มไปด้วยสังขยาหอมเมล่อน และหญ้าที่น้องเต่ายืนอยู่นั้นถูกถอนจนหมดเกลี้ยงเลย โดยเหลือเพียงแค่ไม้กระดานโล่งๆ ไม่ต้องบอกว่าอร่อยก็รู้เลย ว่าอร่อยมากใครมาเที่ยวกาญและมีโอกาสแวะมาที่นี่ต้องสั่งให้ได้นะครับ
  • หลังจากนั้นพวกเราก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ เป็นทริปสั้นๆ แต่เน้นพักผ่อนเป็นหลัก ผมเองอยากเที่ยวสัก 3-4 วัน เอาให้หายอยากกันไปเลย ขอบคุณทุกคนที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันครับ พบกันใหม่ตอนหน้ากับบันทึกของโปรเต้ สวัสดีครับ…
  • ขอขอบคุณ

  • เรียบเรียงโดย เมย์เดย์
  • รูปภาพโดย โปรเต้ & พี่จูน
  • ทริปรวมพลคนแกร่ง The Singha Obstacle Trail Series 2019

    ทักทาย

    กลับมาอีกครั้งกับบันทึกของโปรเต้ เรื่องราวในคราวนี้ ผมจะเล่าถึงทริปวิ่ง The Singha Obstacle Trail Series ซึ่งซีรี่ย์นี้แบ่งเป็น 3 สนามได้แก่ เก่ง แกร่ง กล้า โดยพวกเราไปสนามที่ 2 หรือสนามแกร่งนั่นเอง

    ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับงานวิ่งแนวนี้กัน โดยเขาจะมี keyword หลักๆ ดังนี้

    • Trail คือ การวิ่งทางวิบาก
    • Obstacle คือ การวิ่งผ่านอุปสรรคและสิ่งกีดขวาง

    ซึ่งรวมกันเป็นการวิ่งผ่านอุปสรรคในทางวิบาก

    แนะนำสมาชิกผู้ร่วมชะตากรรมและกองเชียร์ที่เข้าร่วมทริปครับ

    ผู้ร่วมชะตากรรม

  • ได้แก่ ผม สไปร์ท ติ๊ดตี่ พี่บอยและพี่เล็ก
  • กองเชียร์

  • ได้แก่ พี่เก๋ พี่ด๋อย พี่ฝ้ายและพี่ปุ๊ก
  • และยังมีสมาชิกคนอื่นๆ อีกที่ติดภารกิจมาร่วมทริปไม่ได้

    สิ่งของที่ต้องเตรียม

    1. Bib
    2. หมวก
    3. ถุงมือ
    4. รองเท้าผ้าใบ
    5. เสื้อผ้าสะอาดสำหรับเปลี่ยนหลังแข่ง
    6. รองเท้าแตะ

    ออกเดินทาง

    พวกเราแบ่งเป็น 2 กลุ่ม โดยมีกลุ่มพี่บอย กับกลุ่มพี่เล็ก

    ผมอยู่กลุ่มพี่บอย เรานัดเจอกันที่โลตัสอ่อนนุชตอน 9 โมงเช้า เพื่อซื้อขนมกับน้ำไปกินที่ที่พัก หลังจากนั้นจึงออกเดินทางไปสวนผึ้งกัน

    ร้านโมอายคาเฟ่

    กลุ่มผมถึงร้านประมาณเที่ยงเศษๆ แต่กลุ่มพี่เล็กใช้เวลาเดินทางอีก 1 ชม. ถึงจะถึงร้าน พวกเราจึงตกลงกันว่าจะสั่งข้าวกินกันก่อน ในระหว่างรอกลุ่มพี่เล็กที่กำลังเดินทางมา

    หลังจากเข้าร้านอาหาร พวกเราก็สั่งเมนู โดยส่วนตัวผมชอบสั่งเมนูแปลกใหม่มาทาน ผมเหลือบไปเห็นเมนู

    สปาเก็ตตี้โมอายเลิฟหอยนิวซีแลนด์

    ผมจึงเลือกเมนูนี้ นั่งรอประมาณ 15-20 นาที อาหารเริ่มทยอยเสิร์ฟ

    สปาเก็ตตี้โมอายเลิฟหอยนิวซีแลนด์

    รู้สึกถึงความแปลกใหม่ สีอมชมพูสื่อถึงความรัก ซอสทำจากบีทรูทดูเข้มข้น แต่รสชาตินั้นค่อนข้างผิดหวัง ค่อนข้างจืด ไม่ออกไปทางใดทางหนึ่ง ส่วนอาหารเมนูอื่นๆ ก็ผิดหวังไปตามๆกัน

    ราคากลางๆ กับรสชาติกลางๆ

    เมื่อเราทานเสร็จสักพัก กลุ่มพี่เล็กก็เดินทางมาถึง

    หลังจากทานจานหลักเสร็จเราจึงต่อด้วยของหวาน

    เครื่องดื่มที่นี่โอเคเลย สมแล้วที่เปิดคาเฟ่มานาน เติมพลังจนเต็มอิ่มแล้ว พวกเราถึงขับรถไปจุดลงทะเบียนกัน

    จุดลงทะเบียน

    และแล้วพวกเราก็มาถึงสวนผึ้งไฮแลนด์ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานในครั้งนี้

    พวกเราเริ่มเซ็นต์เอกสารยอมรับความเสี่ยงของงาน เซ็นต์เสร็จ ส่งเอกสาร ไปรับบิบ รับเสื้อและรับชิพจับเวลา

    เจ้าชิพจับเวลาเนี่ยจะผูกที่ข้อเท้าของเรา หากทำชิพหายโดนปรับ 500 นะครับ

    แต่ละด่านนี่ มีโอกาสชิพหายสูงมาก

    และนี่ก็คือผู้เข้าแข่งขันทั้ง 5 ท่าน ที่พร้อมไปเละแล้วครับ

    จากนั้นพวกเราจึงได้เดินทางไปยังที่พัก

    ทานิฮิลรีสอร์ท

    เมื่อเราเดินทางมาถึงที่พัก พวกเรารู้สึกประทับใจกับที่พักที่นี่มาก

    บ้านหลังใหญ่ 2 ห้องนอน 4 เตียงคู่ 2 เตียงเดี่ยว นอนได้สูงสุด 12 คน ในราคา 4,800 คุ้มค่าจริงๆ

    ในช่วงบ่ายพวกเรานั่งเล่น เดินเล่นอยู่ในที่พักเพื่อรอคนมารับ bib ของโบ๊ท เนื่องจากโบ๊ทติดภารกิจสำคัญจึงมาไม่ได้ เลยปล่อย bib ไป

    ตรงนี้ผมก็ปล่อยไก่ไปตัวหนึ่ง เมื่อพี่เล็กเปิดตู้เย็นเจอสไปร์ทกระป๋องและถามว่า

    เอ้? เดี๋ยวนี้มีสไปร์ทรสใหม่แล้วหรอ?

    ผมก็ตอบไปว่า

    มันคือน้ำสไปร์ทธรรมดานี่แหละพี่ ส่วน lemonade นั่นก็คือน้ำมะนาว

    พี่เล็กยืนสตั้นไป 5 วิ และพี่เก๋ก็อุทาน

    อะไรของแก!????

    กว่าจะสื่อสารกันเข้าใจอีกทีก็ตอนกลางคืน ที่ผมจะบอกคือ

    รสชาติปกติของน้ำสไปร์ท คือน้ำมะนาว ครับ

    และพวกเราก็แบ่งห้องนอนกัน หลังจากนั้นผมก็ลากนายแบบออกไปถ่ายรูปบริเวณที่พัก

    พวกเราอยู่ที่พักจนถึงตอนเย็นและออกไปทานข้าวเย็นที่ร้านม่อนไข่

    เมนูเด็ดๆ ที่นี่ก็คือ

    ยำผักกรูด สามชั้นทอดน้ำปลา และต้มโคล้ง

    คืนหรรษา

    เมื่อทานเสร็จ พวกเราก็กลับมาที่พัก ต่างคนต่างแยกย้ายไปทำธุระส่วนตัว และกลับมาเล่นบอร์ดเกมกัน เกมที่เราเล่นกันในครั้งนี้คือเกม CS File กับไพ่ Uno

    CS File คือ บอร์ดเกมแนวสืบสวนจับผู้ร้าย

    Uno คือ เกมไพ่สีๆ ที่ทุกคนคุ้นเคยกัน

    เราเล่นเกือบ 3 ทุ่มครึ่งพี่บอยได้แยกตัวออกไปอาบน้ำ และสิ่งที่เราไม่คาดคิดได้โผล่มาหาพี่บอย

    ตั๊กแก!

    ตุ๊กแกสีดำตัวใหญ่ อยู่ใต้เตียงพี่บอย มันดูดุดัน น่ากลัวมาก

    พี่บอยจึงโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ให้มาจับตัวตุ๊กแกไป หลังจากนั้นทุกคนก็แยกย้ายไปนอนกัน

    4,800 เล่นตรูแล้ว

    วันแข่ง

    พวกเราเริ่มตื่นกันตั้งแต่ตี 4 ครึ่ง ออกจากที่พักประมาณตี 5 กว่าๆ ถึงที่งานประมาณ 6 โมงและปล่อยตัวในเวลา 6 โมงครึ่ง ผมเริ่มอัดวิดีโอไว้ตั้งออกตัว โดยสามารถรับชมเป็นวิดีโอผ่านลิงค์นี้ได้ครับ

    https://youtu.be/PY84TbunQuk

    วิ่งออกมาตามถนนและเข้าทางลูกลังสักพักก็เจอกับอุปสรรคด่านแรก

    01 | Tire Mountain

    ด่านนี้ให้เราข้ามกองยางไปยังอีกฝั่งหนึ่ง ง่ายๆแค่นี้เอง

    เมื่อข้ามมาได้ก็เดินต่อไปอีกสักระยะหนึ่งเกือบโล พวกเราก็เจอกลุ่มคนจำนวนมากรอคิวอยู่ นั่นก็คือ อุปสรรคด่านที่ 2

    02 | Pound Craze

    อุปสรรคด่านนี้เราต้องลงทางลาดชัน และลงไปเดินในคลองเพื่อข้ามไปยังอีกฝั่งของคลอง

    และพวกเราวิ่งมา 2 กิโล จนพบทางแยกการแข่งขันระหว่าง 8 กิโล กับ 15 กิโล ส่วนของพวกเรา คือวิ่ง 8 กิโล วิ่งต่ออีกสักพักใหญ่ๆ ก็พบกับอุปสรรคด่านที่ 7

    *ระยะ 8 กิโลจะไม่ได้ผ่านอุปสรรคด่านที่ 3-6

    07 | Wade & Inner tube bridge

    คลองอีกแล้วครับ แต่คลองที่นี่มีห่วงยางเป็นสะพานให้ข้ามไป คลองที่นี่ลึกมาก ขนาดคนตัวสูงอย่างพี่บอยยังยืนไม่ถึง

    เมื่อข้ามคลองมาเราจะเจอตากล้อง พวกเราเลยได้รูปหมู่เท่ๆอีกด้วย

    ถ่ายเสร็จเดินมาอีกหน่อยจะเจออุปสรรคด่านต่อไปฝ

    08 | Sand Bag Carry

    อุปสรรคในด่านนี้คือ การยกถังทรายเดินในระยะที่กำหนดถึงจะผ่านไปได้

    เมื่อผ่านมาได้เราก็วิ่งขึ้นเขาไปอีกกิโลถึงพบกับอุปสรรคด่านที่ 9

    09 | Mud Crawl

    ถึงเวลาคลานต่ำกันแล้วครับพี่น้อง อุปสรรคด่านนี้คือคลานข้ามโคลนไปครับ บอกเลยว่า

    เจ้มจ้น!

    เดินไปอีกนิด ก็พบกับอุปสรรคด่านที่ 10

    10 | The Trenches

    เป็นร่องน้ำให้เราย่อตัวเดินไป

    เมื่อผ่านด่านมาได้ เดินไปอีกหน่อย เราก็พบกับอุปสรรคด่านที่ 11

    11 | The Wall

    ปีนข้ามกำแพงครับ ผมชอบด่านนี้ที่สุดละ เป็นด่านที่ได้ช่วยเหลือคนหลายคนเลย

    เรามาเป็นทีมเราก็ต้องไปด้วยกันเป็นทีม ตอนพาติ๊ดตี่ข้ามฝั่งไป ติ๊ดตี่ถึงกับร้อง

    เชี่ย!!

    ทุกคนก็หัวเราะตามๆกันไป เมื่อข้ามฝั่งไปได้ พวกเราก็วิ่งไปอีกสักระยะหนึ่ง เริ่มเจอดินแชะๆ และอุปสรรคด่านที่ 12

    12 | Pits of Hell

    แปลเป็นไทยคือ หลุมนรก ชื่อน่ากลัว แต่ด่านไม่ได้น่ากลัวแบบชื่อ พอผมลงไปกลางหลุมเท่านั้นล่ะ

    นรกชัดๆ

    โคลนหุ้มรองเท้าไปด้วยสีน้ำตาลเต็มๆทั้งสองเท้าโปรดสังเกตุจากรองเท้า

    แต่จุดนี้ผมก็แลกกับรูปเท่ที่ได้มาถือว่าคุ้มค่าแล้ว

    ผ่านจุดนี้ไปก็ต้องขึ้นเขาลงเขาจนวนกลับมาเจออุปสรรคด่านที่ 13

    13 | The Creek

    ลำธารแคบๆ เหมือนเป็นจุดล้างเท้าให้กับพวกเรา

    เดินพ้นลำธารมาก็เจออุปสรรคด่านที่ 14 ต่อเลย

    14 | Monkey Swing

    บาร์โหนลื่นปรื้ด พวกเราตายกับด่านนี้กันหมดทุกคน

    โหนบาร์ไม่ผ่านต้องวิดพื้น 10 ที

    ส่วนผมกับติ๊ดตี่บาดเจ็บในด่านนี้ ผมตกลงมาเจ็บกล้ามเนื้อหลัง ส่วนติ๊ดตี่เจ็บเท้าปฐมพยาบาลกันไปตามระเบียบ

    15 | Swamp

    หลุมตัว V ค่อนข้างลึก ด่านนี้ผมก็เจ็บแขนอีก เนื่องจากวิ่งด้วยความเร็วลงมาทำให้ตัวเหมือนจะเอนล้มเลยเอาแขนซ้ายยันไว้

    ใช้เวลาพักสักหน่อยผมก็ไปต่อได้ ใกล้ๆนี่มีอุปสรรคด่านที่ 16 รออยู่

    16 | Robe Climb

    เนินสูงต้องใช้เชือกปีนขึ้นไป ข้อควรระวังในด่านนี้คืออย่าเอาเชือกไว้ใต้ระหว่างขา

    โดนเฉพาะผู้ชายอาจจะสูญพันธุ์ได้

    และแบตกล้อง GoPro ก็หมดในด่านนี้จึงไม่สามารถอัดวิดีโอในด่านต่อๆไปได้

    17 | Roll the Tire

    กลิ้งล้อวนไปง่ายๆครับ และอุปสรรคด่านถัดไปก็อยู่ใกล้ๆกัน

    18 | Amphitheatre cargo net a frame

    ชื่อยาวแต่ด่านไม่ยาว เป็นอัฒจันทร์ที่มีทางให้เราปีนขึ้นไปและรูดเสาลงมา ถ้าด่านนี้เราไม่มีถุงมือคงมือพองกันบ้าง

    ผ่านจากจุดนี้ไป มีห้องน้ำสะอาดให้แวะพัก เมื่อพักเสร็จ เดินขึ้นบันไดมาก็ได้อีกหนึ่งรูปก่อนไปก็พบอุปสรรคด่านที่ 19

    19 | Tire Carpet

    พรมยางวางกับพื้นจะเดินผ่านไปสบายๆ และไปพบกับอุปสรรคด่านที่ 20

    20 |Carry Yellow Tanks

    ยกถุงทรายเดินวนน้ำพุเล็กๆ แค่นี้ครับ

    ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้จะพบความผิดปกติบางอย่างนั่นคือ ชื่อด่านสลับกับด่าน 8!!!

    อ้าวเห้ย! ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หน่า

    ผ่านจากจุดนี้ไปก็พบกับอุปสรรคด่านที่ 21

    เครื่องหมาย * คือสลับชื่อด่านให้ถูกต้อง

    21 | Horizontal Cargo*

    ตามลำดับเดิมคือ Maze

    ปีนป่ายขึ้นบ้านและลงมาเจอกับอุปสรรคด่านต่อไป

    22 | Maze*

    ตามลำดับเดิมคือ Horizontal Cargo

    เขาวงกตใต้กองฟาง ด่านนี้เราต้องคลานสูงไปเรื่อยๆ จนพบทางออกที่มีตากล้องรออยู่

    ได้ภาพสวยๆกลับบ้านอีกหนึ่ง ถัดไปเป็นอุปสรรคด่านที่ 23

    23 | Bridge Ladder

    สะพานปีนป่ายเล็กๆ ข้ามไปสบายๆ เดินลงเขาไปนิดหน่อยพบกับอุปสรรคด่านที่ 24 ๅ

    24 | Mud Crawl

    คลานต่ำอีกรอบ แต่โคลนตรงนี้ไม่เจ้มจ้นเท่าที่แรก และพวกเราก็วิ่งลงเขาจนพบกับอุปสรรคด่านสุดท้าย

    25 | A-Frame Cargo

    สะพานปีนป่ายขนาดใหญ่ตั้งอยู่หน้าเส้นชัย ใช้เวลาปีนข้ามไปจนครบทุกคน พวกเราจึงตั้งแถวหน้ากระดานวิ่งเข้าเส้นชัยพร้อมกัน

    Finished

    พวกเราใช้เวลาทั้งหมด 2 ชั่วโมงกับ 47 นาทีซึ่งดูเหมือนนาน แต่รู้สึกเวลาผ่านไปแปปเดียวเอง

    หลังจากนั้นแยกย้ายกินข้าว อาบน้ำให้พอสะอาดและเราก็กลับไปที่พักเพื่อพักผ่อนตามอัธยาศัย จนถึงเที่ยงและออกไปแวะเที่ยวก่อนกลับกรุงเทพ

    รู้สึกว่าจุดอาบน้ำที่นี่มีบริการให้น้อยไปหน่อยนะ จุดนี้ต้องคอยปรับปรุงกันไปนะครับ

    Scenery Vintage Farm

    พวกเราเลือกมาฟาร์มแกะสวนผึ้งที่มีชื่อเสียงอย่างยาวนานครับ

    จุดแรกที่เราเจอคือแพะแคระ มั้งครับ!? ขนสวยแต่กลิ่นของมันค่อนข้างแรง

    จุดต่อมามีน้องแกะยืนโชว์ตัวอยู่

    หลังจากชมแกะแล้ว ก็มาทานไอศกรีมนมแกะกันต่อ

    รสชาติดี ดูน่าทาน คนกินยังดูอร่อยเลย

    ทานไอศกรีมเสร็จต่อด้วย แสดงฝีมือการยิงธนูครับ

    Hunter Katniss Hawkeye มาหมด

    พวกเรายิงกันประมาณ 2 ชุด พนักงานใจดีแถมให้พวกเราเยอะเลย หลังจากนั้นก็เดินเที่ยวบริเวณรอบๆ

    เดินจนทั่วแล้วเราก็ได้จุดถ่ายรูปหมู่ดีๆ 2 จุดครับ

    แฮร่! หยอกครับหยอก

    และอีกจุด

    จบทริปครับ

    ส่งท้าย

    ผมประทับใจกับงานวิ่งแบบนี้นะ ทั้งเปียก ทั้งเลอะ แต่ก็สนุกมาก เพราะเราไม่ได้วิ่งคนเดียว เราไปกันเป็นทีม ทำเอาผมนึกถึงตอนออกค่ายสมัยเรียนเลย เอาคะแนนไป 5 5 5

    สำหรับผู้ที่สนใจจะวิ่งในงานลักษณะนี้ ผมแนะนำให้คุณเตรียมแค่ 2 อย่างครับ แค่กายพร้อมใจพร้อมพอครับ ซ้อมออกกำลังกายเบาๆงานนี้พวกผมเดินมากกว่าก็จบได้แล้วครับ

    เน้นแรงแขนมากกว่าแรงขา

    สุดท้ายขอบคุณทุกคนที่มาร่วมทริปด้วยกัน

    วิ่งบ่อยๆแบบนี้อยากจะมีชื่อทีมกับเขาบ้างแล้วนะ ฮ่าๆ

    ขอบคุณทีมงานเก่ง แกร่ง กล้า ที่จัดงานนี้ขึ้นมาให้เราได้ร่วมสนุกด้วยครับ

    ไว้ครั้งหน้าจะมาเล่าเรื่องราวใหม่ๆอีกครั้งครับ

    See you next time

    #TheSinghaObstacleTrailSeries2019

    Shimano MTB Experience 2019

    #Cycling #MTB #ShimanoMTB Experience2019

    สวัสดีครับ..ทุกท่าน ครั้งนี้ผมจะมาเล่าประสบการณ์การเข้าร่วมงานปั่นจักรยานเสือภูเขาครั้งแรก

    ขอเท้าความกันก่อนเล็กน้อย

    ผมเองจริงๆเป็นสายวิ่งมาก่อน วิ่งได้ 3 ปีละ เริ่มจากวิ่งลู่ วิ่งสวน จนไปวิ่งตามงานต่างๆมาก็เยอะพอสมควร

    โปรเต้แอนด์เดอะแก๊งค์

    ผมมาเริ่มปั่นปีนี้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์นี่เอง เหตุผลหรอเพราะแฟนวิ่งไม่ไหว วิ่งแล้วเจ็บเข่า เลยมาสายปั่นแทน

    ประเมินตัวเอง

    หลังจากที่ลองปั่นมาสักระยะหนึ่ง รู้สึกว่าตัวเองปั่นได้ จึงค่อยๆเพิ่มระยะปั่นมากขึ้น และเมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ผมอยากรู้ว่ามีงานปั่นจักรยานแบบไหนบ้าง ดันไปเจอเว็บงานปั่นเข้าเว็บหนึ่ง (thaimtb.com) ซึ่งผมเห็นงานนี้เป็นงานเสือภูเขาจัดที่เขาจีนแล จังหวัดลพบุรี ที่ใกล้กับบ้านแฟนผมด้วยเลยสนใจ

    พอเห็นงานนี้จัดใกล้ๆแบบนี้ ผมเลยประเมินความสามารถของตัวเองโดยการซ้อมปั่นตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้ได้ก่อนถึงจะสมัคร

    นอกจากปั่นและวิ่งแล้ว ผมยังต้องสร้างกล้ามแขนและขาเพื่อเสริมความอึดเวลาปั่นระยะไกลอีก ผมทำอย่างนี้อยู่เกือบ 2 เดือน จนรู้สึกว่าตัวเองพร้อมจึงสมัครทันที

    เตรียมตัว

    สองอาทิตย์ก่อนวันงาน ผมได้ทราบจากเพจทีมงานให้เตรียมอุปกรณ์และอะไหล่จำเป็นต้องใช้ในงาน ผมจึงไปเดินหาอุปกรณ์ดังกล่าว โดยมี

    • ปั้มลมแบบพกพา
    • ยางใน
    • บังโคน
    • กระเป๋าสำหรับใส่อุปกรณ์

    วันลงทะเบียนหน้างาน

    และวันนี้ก็มาถึง วันที่จะได้เปิดประสบการณ์ใหม่ๆอีกครั้ง โดยสามารถมาลงทะเบียนได้ตั้งแต่ 10.00 – 18.00 น. ผมจึงเลือกไปสัก 16.00 น. แดดกำลังดีถ่ายรูปกำลังสวย เมื่อผมมาถึงผมก็ไปลงทะเบียนเพื่อรับ Bib และเสื้อ

    หลังจากลงทะเบียนเสร็จ ผมก็นำจักรยานไปตรวจเช็คกับทีมช่าง Shimano ต่อ โดยทีมช่างเขาตรวจเช็คแทบทั้งคันเลย ไม่ว่าจะเป็นชุดเกียร์ โซ่ เบรค และจุดอื่นๆอีก ตรงจุดนี้ผมโอเคเลยได้ความรู้ในการดูแลรักษาเพิ่ม และการเปลี่ยนเกียร์ได้ตรงระดับของมัน

    ในเวลา 16.30 น. ทางทีมผู้จัดงานได้จัดการบรรยายแนะนำเส้นทาง คำเตือนและข้อควรระวังต่างๆ โดยทางทีมผู้จัดงานบอกว่า

    งานนี้เรามาปั่นเพื่อแข่งกับตัวเอง โดยมีเวลา cutoff 7 ชั่วโมง ซึ่งเมื่อมีรถ cutoff ไปถึงคุณเมื่อไหร่คุณต้องขึ้นรถทันที

    และเน้นย้ำว่า

    ถ้าคุณผ่าน 18 กิโลแรกไปหากคุณปั่นไม่ไหวให้กลับตัวจุดน้ำจุดแรกได้เล

    ผมได้ยินแบบนี้ใจผมหล่นไปที่ตาตุ่มเลย ปั่นงานแรกแถมยังมาสนามโหดอีก ไหนๆก็มาแล้วลอง ไปปั่น 18 กิโลแรกก่อนละกัน

    หลังจากฟังทางทีมผู้จัดงานจบแล้ว ผมก็มาลอง Test Drive ชุดเกียร์ SLX และ XTR 12 Speed ไม่รู้ว่าดียังไงแต่ที่รู้ๆ พอปั่นเกียร์สูงปั่นแล้วได้กำลังขับดี ปั่นจนหนำใจแล้วผมก็กลับไปพัก

    วันแข่ง

    เป็นอีกหนึ่งคืนที่ผมนอนหลับสนิทและตื่นมาตอนเที่ยงคืน

    โอ้ เมื่อไหร่จะเช้า?

    ตื่นเต้นหรือไงไม่รู้ หลับๆตื่นๆแบบนี้ทั้งคืนจนถึงตี 4 ครึ่ง ผมจึงลุกมาเตรียมตัวไปงาน

    จะไหวไหม?

    การนอนหลับๆตื่นๆก่อนแข่งเป็นอะไรที่เลวร้ายมาก สิ่งที่จะช่วยได้คืออาหาร ผมถึงงานตอน 6 โมงครึ่ง ผมจึงรีบไปทานข้าวและยืดแข้งยืดขาเตรียมร่างกายให้พร้อมปั่น

    คลิปสัมภาษณ์โดยคุณแฟน

    เอาแค่ไหว

    ปล่อยตัว

    หลังจากฝึกซ้อมเป็นเวลานาน ช่วงเวลานี้ที่ผมจะได้พาจักรยานคู่ใจไปลุยสนามจริงสักที สนามของจักรยานพันธุ์ลุย เป็นเส้นทางวิบากขึ้นลงเนินมีระยะทางถึง 66 กิโลเมตรและ cutoff 7 ชม. จะเริ่ม ณ บัดนี้

    เมื่อเริ่มปล่อยตัว มองขึ้นไปบนฟ้า วันนี้อากาศเป็นใจ ฟ้าครื้มแดดไม่มี

    สบ๊ายยย

    ปั่นไปสักระยะหนึ่งจะเจอ landmark ของสนามแห่งนี้คือภูเขาที่มีหงอนชี้ฟ้าขึ้นไปตรงๆแบบนี้ นี่แหละเขาจีนแล

    ปั่นตามถนนไปก็เริ่มเจอทางขรุขระบ้าง

    และก็เริ่มเจออุปสรรคบ้าง

    ไม่มั่นใจให้เข็น

    เสียงทีมงานดังอยู่ในหัว

    จนผ่านทางขึ้นเนินเบาๆ และทุ่นระเบิดที่กินแรงสะเหลือเกิน ผ่านตรงนี้มาก็ถึงกิโลที่ 11 แล้วจึงหยุดพัก

    ทางหลังจากกิโลที่ 11 จะมีทางลาดลง 2 จุดเป็นทางอันตรายมาก มีเส้นทางปั่นที่แคบและลาดลงไป คือถ้าพลาดไปโดนหินเดียวรถพลิกคว่ำได้เลย โดยตรงจุดนี้จะมีเจ้าหน้าที่แจ้งเตือนเรา

    ไม่มั่นใจให้เข็นเลยครับ

    แต่ผมมั่นใจเพราะว่าเคยลงทางลาดแบบนี้ ก็ลุยสิครับรออะไร ตรงจุดนี้ไม่ได้ถ่ายรูปไว้ เลยถ่ายรูปหลังผ่านมาได้แทน

    ไปเรื่อยๆจนพบจุดน้ำจุดแรก

    ห้ะ!! นี่ถึงจุดน้ำจุดแรกแล้วเหรอ? แสดงว่าผ่าน 18 กิโลแรกแล้วสิ!?

    แต่พอดูเวลาแล้ว ผมนี่อึ้งไปเลย ปาไป 2 ชั่วโมง

    จะทัน 7 ชั่วโมงไหมวะ?

    ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย แต่ผ่าน 18 กิโลแรกมาได้แรงยังเหลือนี่ ดื่มน้ำปัสสาวะเรียบร้อยก็ออกเดินทางกันต่อ

    ปั่นไปอีกเจอหลุม เจอเนินอย่างต่อเนื่อง

    ขึ้นเขามา มีคนทักว่าเสียงเบรคมันหอน เลยพักตากลมและเช็คเบรคกันสักหน่อย

    เมื่อซ่อมเบรคเสร็จ ก็ออกเดินทางต่อ จนเจอจุดน้ำจุดพิเศษ มาถึงตรงนี้คงเป็นกิโลที่ 23 เลยเติมพลังด้วยโกโก้ครั้นช์ 2 แท่ง และนั่งพักสักหน่อย

    เติมเสร็จ ก็ปั่นไปเรื่อยๆ หลังจากกิโลที่ 23 มานี่ปั่นทางถนนลูกรังสบายๆ จนถึงกิโลที่ 32 เจอจุดน้ำจุดที่ 2 ซึ่งจุดนี้มีช่างคอยตรวจเช็คจักรยานให้ด้วย

    ตรวจเช็คเรียบร้อย ปั่นทางลูกรังสบายๆ จนถึงกิโลที่ 38 เจอจุดน้ำจุดที่ 3 จุดนี้ไม่แน่ใจว่าเป็นจุดพิเศษหรือป่าว และแดดก็ออก

    ชีวิตโดนแค่แดดทำร้าย

    ปั่นต่อ ปั่นตามทางลูกรังไปเรื่อย เย็นบ้าง ร้อนบ้างแต่ก็ยังทำความเร็วได้ดี

    ไปอีก

    จนพื้นดินเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง ก็พบกับจุดน้ำจุดที่ 4 ในกิโลที่ 43

    แต่โชคร้ายหน่อย ผมเหลือบไปเห็นนาฬิกาแจ้งเตือนว่า

    Battery Low

    อ่าว แบบนี้จะอยู่ถึงเส้นชัยไหมเนี่ย เมื่อเห็นแบบนี้ ผมเติมพลังด้วยโกโก้ครั้นช์ 2 แท่งอีกครั้ง และปั่นไปด้วยแรงทั้งหมดที่ผมมี

    แต่แล้วต้องมาเจออุปสรรคระหว่างทำความเร็ว

    โคลนเละแบบนี้คงจบไม่สวย แบบนี้ต้อง

    เข็นสิครับ!

    เจอแอ่งน้ำอีกจุด ก็ปั่นผ่านไปแบบชิลๆ จนมาโผล่ที่ถนน

    ปั่นช้าๆ เก็บแรงไป ชมวิวไป

    พักเสร็จ ก็ปั่นด้วยความเร็วสูงสุด จนเข้าป่าอีกครั้ง

    และแล้วนาฬิกาก็ได้จากผมไป ในกิโลที่ 51 ช่วง 11 โมงกว่าๆ แดดร้อนกำลังดี หลังจากนี้ก็ได้ปั่นไปเรื่อยๆ ไม่รู้จุดหมาย เจอคนพักตรงไหนก็พักด้วย

    พักเสร็จก็ปั่นวนไป เจอมาร์แชลคอยดูแลคนตลอดทาง

    มาร์แชล (Marshall) คือ เจ้าหน้าที่ดูแลผู้แข่งขัน มั้ง

    ไปอีกจนรู้สึกคุ้นทาง เหมือนทางที่เราเคยมาเมื่อเช้า จนเจอกับจุดน้ำจุดแรก ในเวลาเที่ยงนิดๆ

    โอ้ นี่เรากลับมาแล้วหรอ

    ผมยืนพัก และหันไปเจอคนที่ดูสีหน้าท่าทางไม่ดีผมจึงแบ่งกล้วยหอมไป

    กล้วยหอมเป็นแหล่งพลังงานอย่างดีเลยนะน่าจะช่วยเขาได้เยอะ

    ระหว่างพักเลยสอบถามกับเจ้าหน้าที่ว่าต้องไปทางไหนต่อ เจ้าหน้าที่บอก

    ปั่นกลับทางเดิมและปั่นตรงไปเรื่อยๆ จะมีเจ้าหน้าที่คอยบอกเส้นทางอยู่ ปั่นอีก 10 กิโลก็ถึงเส้นชัยแล้วครับ

    อีก 10 กิโลเท่านั้น ไป!!

    ตอนนี้ยังพอมีแรงอยู่ อัดบนถนนยาวๆไป

    แต่พออัดมากๆเข้า ตะคริวกิน เลยผ่อนแรงและหาจุดพักยืดเส้น ซึ่งเจอเจ้าหน้าที่โบกให้เข้าไปในทางโรงเรียนและบอกว่า

    เหลืออีก 2 กิโลแล้ว

    ปั่นเลยโรงเรียนมา เจอเขาจีนแล

    ใกล้ถึงแล้ว

    ปั่นขึ้นเนินอีกหน่อย

    เห็นเส้นชัยแล้วโว้ยยยยยย ไป!!!!

    ในที่สุดผมก็สามารถเข้าเส้นชัยในเวลาบ่ายโมงก่อนเวลา cutoff ตอนบ่าย 2 โมง ผมใช้เวลาทั้งหมด 5 ชั่วโมง 53 นาที ระยะทาง 66 กิโลเมตร และก็ได้รับเหรีญสวยๆกลับบ้านไป (ในรูปคือนาฬิกาได้บันทึกระยะกับเวลาล่าสุดไว้ก่อนจะจากไป)

    และที่พีค คือ ยางรั่วหลังเข้าเส้นชัย รู้สึกโชคดีมาก ขอบคุณที่อดทนจนมาถึงเส้นชัยนะเพื่อน

    สิ่งที่อยากบอกกับผู้ที่สนใจ

    1. สนามนี้ต้องใช้จักรยานที่มีโช๊คเท่านั้น
    2. กางเกงเจลช่วยได้ ขนาดผมใส่ยังปวดเลย
    3. ถุงมือกันกระแทก ผมไม่มี ปั่นเสร็จปวดมือเลย
    4. รองเท้ามีดอก หรือรองเท้าวิ่งบาก ช่วยยึดเหนี่ยวเวลาเราเข็นขึ้นลงเนิน
    5. อะไหล่สำรองพวกยางใน โซ่ ต้องพกติดไป ในงานผมเห็นส่วนใหญ่ยางรั่ว และโซ่ขาดแค่คันเดียว
    6. อุปกรณ์ต่างๆ เช่น ไขควงชุดขนาดเล็ก ปั้มลมขนาดพกพา อุปกรณ์งัดยาง
    7. อาหารและน้ำสำคัญมาก อาหารก่อนปั่นกินให้พอดีๆ และเตรียมพวกอาหารแท่งหรือผลไม้ที่กินได้ง่ายๆติดไป เพราะเป็นการออกกำลังกายที่ใช้เวลานาน เราควรกินเพื่อเติมพลังงาน ก่อนที่จะหมดแรง ไม่งั้นไม่มีแรงปั่น ส่วนน้ำควรจิบสัก 10-15 นาที เพื่อให้ร่างกายเราสดชื่นและป้องกันฮีทสโตร์ค (Heat Stroke)
    8. สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การซ้อม และถ้าเราไม่รู้ว่าเจอกับอะไรข้างหน้า เราควรเตรียมร่างกายให้พร้อมมากที่สุด

    ซ้อมให้หนัก กินให้อิ่ม จิบให้บ่อย นอนให้พอ

    ปีนี้ทางทีมงาน Shimano จะจัดอีกงาน คืองานปั่นจักรยานขึ้นเขาค้อในเดือนพฤศจิกายน ชื่องาน Shimano Blue Race ครับ

    ขอขอบคุณ

    ขอบคุณผู้อ่านทุกท่าน ที่อ่านมาถึงตรงนี้

    ทีมงานผู้จัดงานดีๆแบบนี้และคอยดูแลเราตลอดการแข่ง

    ขอบคุณจักรยานคู่ใจที่อดทนมาจนจบ

    ขอบคุณกำลังใจที่คอยอยู่เคียงข้างกันและผู้ที่สร้างแรงบันดาลใจเล็กๆในการปั่นจักรยาน นั่นคือ คุณแฟนผมเอง

    สุดท้ายขอบคุณตัวเองที่พยายามอย่างหนักและผ่านมันไปได้ เฮ้!

    ไว้มีเรื่องราวใหม่ๆ จะกลับมาเล่าอีกครั้งครับสวัสดีครับ…

    เรียบเรียงโดย เมย์เดย์

    ภาพโดย โปรเต้ & เมย์เดย์